ทดลองอ่าน A Passage to India | Page 7

เบื้องล่าง แขนงกิ่งก้านและใบที่กวัดไกวเพรียกหาทักทายกัน กลาย เป็นเมืองให้ฝูงวิหคอาศัย โดยเฉพาะหลังฝนตก หมู่ไม้เหล่านี้คอย คัดกรองสิ่งที่ลอดผ่านสู่เบื้องล่าง ทุกเมื่อเชื่อวัน กระทั่งยามแห้งผาก ไร้ใบ หมู่ไม้เหล่านี้ก็ช่วยบันดาลความยิ่งใหญ่อลังการแก่เมืองแห่งนี้ ให้ออกสู ่สายตาของชาวอังกฤษที่พ�ำนักบนเนินสูง คนที่เพิ่งมาถึงใหม่ๆ จึงไม่ยอมเชื่อว่าเมืองนี้ยากจนข้นแค้นดังค�ำบรรยาย จนกระทั่งต้อง มีคนบอกให้ลงไปดูด้วยตาจึงค่อยตาสว่างขึ้น ตัวชุมชนกลางนั้นดู แล้วไม่ได้ชวนให้รู ้สึกอะไรเลย ไม่เชิงสวย ไม่เชิงน่าเกลียด ตัวอาคาร ออกแบบโดยค�ำนึงประโยชน์ใช้สอย บนยอดเนินมีอาคารสโมสรก่อ อิฐแดง ถัดออกไปมีร้านขายของช�ำ สุสาน และบังกาโลเรียงรายอยู่ บนถนนที่ตัดขวางเป็นตาราง ไม่มีสิ่งใดอุจาดตา ความงามเพียงอย่าง เดียวคือทัศนียภาพที่มองเห็นได้จากตรงนั้น ชุมชนกลางไม่มีสิ่งใดร่วม กับตัวเมืองเลย นอกจากอยู่ใต้ท้องฟ้าผืนเดียวกัน
ท้องฟ้าเองก็แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนกัน แต่ไม่มากเท่า พืชพันธุ์และสายน�้ำ บางคราวมีหมู่เมฆแต่งแต้มบ้าง แต่ปกติท้องฟ้า จะเป็นโดมครอบหลากสีสันกลมกลืนกับสีฟ้าที่เป็นสีพื้นหลัก ยาม กลางวันสีฟ้าซีดจางจนขาวโพลน ณ จุดที่ฟ้าจรดสีขาวบนผืนโลก หลังพระอาทิตย์ตกดิน ฟ้าจะมีกรอบสีใหม่มารายล้อม เป็นสีส้ม ผสานสีม่วงอ่อนหวานด้านบน แต่แกนสีฟ้าก็ยังคงให้เห็นอยู่ตลอด แม้กระทั่งยามราตรี ครั้นแล้วดวงดาวก็พราวพร่างดารดาษดุจแสง ตะเกียงบนเพดานโค้งไพศาล ระยะทางระหว่างเพดานโค้งกับหมู่ดาว เทียบไม่ได้กับระยะทางที่อยู่ไกลโพ้นออกไปอีก และระยะทางลิบลิ่ว ที่ว่านี้ ก็ไร้สีสันและปลอดสีฟ้าไปได้ในที่สุด
ท้องฟ้าก�ำหนดทุกสิ่งทุกอย่างไว้เสร็จสรรพ ไม่เพียงแต่ภูมิ- อากาศและฤดูกาล แต่ยังก�ำหนดช่วงเวลาที่พื้นพิภพจะงดงามตระการ
17